Primitive Shader เป็นหนึ่งในคุณสมบัติใหม่ที่มีความสำคัญของ GPU RX Vega ของ AMD แต่ยังไม่ได้ถูกใช้โดยเกมส์ใดๆ จนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งทาง AMD ได้ระบุอย่างชัดเจนอีกครั้งว่า “เกมส์ควรต้องสนับสนุนฟังก์ชั่นดังกล่าว” ข้อความนี้ได้สร้างความสนใจมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่
Primitive Shader ช่วยประหยัดการประมวลผลได้เป็นอย่างมาก
Primitive Shader ได้ปรับเปลี่ยนการประมวลผลเพื่อแสดงภาพโดยการยกเลิกการแสดงผลโมเดลที่ถูกบังอยู่ก่อนที่จะแสดงผล ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดเวลาในการประมวลผลภาพ เมื่อเทียบกับเทคนิคก่อนหน้านี้ที่ใช้กันทั้ง AMD และ Nvidia ซึ่งใช้มานานหลายปีที่จะคำนวณจากการปรับโมเดลให้พื้นผิวเป็นรูปสามเหลี่ยมก่อนทำการประมวลผล ซึ่งการทำงานเช่นนี้ใน VEGA 10 GPU สามารถเพิ่มความเร็วในการทำงานได้ถึง 4 เท่า ซึ่ง AMD เรียก “Pipeline” นี้ว่า “Next Generation Geometry Pipeline”

Primitive Shader ทำให้เห็นได้ชัดว่าการทำงานที่มีอยู่นั้นไม่เพียงแต่ในทางทฤษฎี แต่ยังในทางปฏิบัติด้วย ซึ่งนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี พ.ศ. 2560 เอเอ็มดีได้นำเสนอเทคนิคที่ช่วยในการประมวลผล Polygon ที่สามารถใช้งานผ่านตัว Hardware/Driver วิธีการที่แน่นอนนี้สำหรับ Primitive Shader ได้ถูกนำมาใช้ในฮาร์ดแวร์แต่ยังไม่ถูกนำไปใช้งานอย่างเด่นชัด สิ่งที่เป็นที่รู้จักได้คือ RX Vega ยังคงใช้งาน Primitive Shader และจะใช้งานได้เฉพาะใน Radeon RX Vega 64 และ Radeon RX Vega 56 ที่มีอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
Primitive Shader ใช้ได้กับ Driver หรือ API
เพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการในการใช้งน กราฟฟิการ์ดนั้นจะต้องใช้ความสามารถในการใช้งาน Primitive Shader คำถามคือการใช้งานในโปรแกรมควบคุมแล้วสำหรับเกมส์ทั้งหมดสามารถใช้ประโยชน์ได้ในรูปแบบของ API ซึ่งจะต้องมีการระบุโดยตรงจากเกมส์ ดังนั้นเกมส์แต่ละเกมส์จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเพื่อสามารถใช้ประโยชน์จาก Primitive Shader ของ AMD ที่กำลังจะเริ่มใช้งานสถาบัตยกรรม Vega ซึ่งจะเริ่มแบบจริงจังในช่วงต้นปี พ.ศ. 2561
ในงาน CES 2018 เดือนก่อนหน้านี้จากคำบอกเล่าของพนังงานจากเอเอ็มดีได้กล่าวว่า “ทางเลือกในการใช้งาน Primitive Shader โดย Driver จะถูกยกเลิก” Marc Sauter จาก Golem ได้โพสผ่านฟอรัม 3DCenter ในสัปดาห์นี้

จากคำบอกของเขานำไปสู่การพูดคุยในเว็บไซต์ Reddit และ IT ทั่วโลกภายในไม่กี่ชั่วโมงซึ่งได้รายงานว่า เอเอ็มดีเคยพูดถึงการใช้งานช่องทางพิเศษของ Primitive Shader ที่มีอยู่ในกราฟฟิกการ์ด VEGA โดยการบูรณาการโดยตรงในเกมที่ต้องใช้งาน Special API
ถ้อยแถลงผ่าน Twitter
สามารถอธิบายได้จากคำแถลงของพนักงาน AMD ใน Twitter สำหรับการเปิดตัว AMD Radeon RX Vega เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมาซึ่งสามารถทำงานร่วมกับ Radeon Technologies Group ในโหมด “Game Engineering” ได้โดยตรง โดยพวกเขาได้แบ่งปันเทคนิคนี้ต่อสาธารณะผ่าน Twitter เพื่อส่งต่อถึงนักพัฒนารายอื่นเกี่ยวกับวิธีการทำงานของ Primitive Shader และเมื่อถูกถามว่าสามารถใช้ Primitive Shader ได้โดยอัตโนมัติกับ Driver ได้โดยตรงหรือไม่คำตอบของเขาคือ ” ใช่ “
AMD ได้วางแผนไว้ทั้งสองอย่าง
แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของเอเอ็มดีชี้ให้เห็นว่าเอเอ็มดีได้วางแผนทั้งสองแบบที่ได้เตรียมไว้ให้กับการใช้ Primitive Shaders ทั้งการใช้งานผ่าน API หรือจะใช้งานโดยผ่านไดรเวอร์ที่การทำงานอาจไม่เต็มที่ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเอเอ็มดีไม่เคยแน่ใจเลยว่าการทำงานผ่านไดร์เวอร์เพียงอย่างเดียวจะทำงานได้ดี นั่นคือเหตุผลที่ไม่เคยได้รับชื่ออย่างเป็นทางการ
AMD กับความก้าวหน้าของ VEGA
เอเอ็มดีได้ออกมากล่าวในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาว่า “คุณลักษณะต่างๆของ Vega จะถูกยกเลิก ” จากการนำเสนอผ่านสไลท์ที่ผ่านมา และในความเป็นจริงแล้ว Draw Stream Binning Rasterizer ได้มีการเปิดใช้งานแล้วสำหรับเกมส์ส่วนใหญ่ ซึ่งสำหรับ Radeon Vega Frontier Edition ก็ยังคงปิดเงียบอยู่แต่อาจจะมีการเปิดตัวกับ Radeon RX Vega ซึ่งไม่น่าที่จะเป็นไปได้ในขณะนี้หลังจากมีการอัพเดตไดรเวอร์ไปชุดใหญ่

AMD กล่าวถึงเกมส์ Wolfenstein 2 ซึ่งเป็นการรวมเอาความสามารถที่โดดเด่นของ 3DMark Sierra และคาดว่าจะมีการวางจำหน่ายปลายเดือนกุมภาพันธ์สำหรับ Far Cry 5 ในหัวข้อของ “Next-gen Geometry path” เอเอ็มดีกล่าวถึงการเปิดตัวของ Primitive Shader ที่ยังคงต้อง “เปิดการใช้งาน” เพื่อให้ใช้งานได้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทำให้เห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง APIs DirectX (and volcano) ซึ่งนี่อาจรวมความได้ว่าเหตุผลที่เกมไม่ได้ใช้คุณลักษณะนี้ทำให้จึงไม่มีการเปิดการใช้งานนี้สำหรับไดรเวอร์ เกี่ยวกับ HBCC เอเอ็มดีไม่ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของ RX VEGA คุณลักษณะนี้ยังคงถูกปิดใช้งานไปโดยปริยายซึ่งตามจริงแล้วก็มีข้อดีและข้อเสียในเกมส์แต่ละเกมส์ได้
ที่มา : computerbase